วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
จิตวิทยาในการเล่นหุ้น
จากหนังสือ คัมภีร์หุ้นทำไมหลายคนซื้อหุ้นตัวไหนตัวนั้นจะลง แต่พอขายแล้วหุ้นกลับขึ้น หลายคนที่เล่นหุ้นในปัจจุบันจะรู้สึกเหมือนโชคไม่เข้าข้าง จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของดวงหรืออะไรกันแน่ ทฤษฎีการลงทุนต่างๆ ควรจะใช้ได้ดี เพราะหลักการลงทุนผู้ลงทุนควรจะเลือกลงทุนสิ่่งที่ดีและอยากได้กำไรไม่อยาก ขาดทุน แต่จริงๆกลยุทธิ์ต่างๆกลับใช้ไม่ได้ผลเพราะนักลงทุนแต่ละคนเองมี"อคติ"ยอม ขาดทุน หากคิดว่าหุ้นจะลงต่อ หรือยอมซื้อของที่แพงมากหากคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อ สิ่งที่นักลงทุนทุกคนใช้ จริงๆจึงเป็นการ"คาดคะเน" ใช้ "สมอง"ประมวลสิ่งต่างๆจากข่าวสารและปัจจัยโดยรอบแต่หารู้ไม่ว่า สมองมีกระบวนการตัดสินใจลึกๆภายในที่ขึ้นอยู่กับ"อารมณ์"มากกว่า "เหตผล"ยกตัวอย่างการเลือกคู่ครองที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตผลแม้คนที่เรียน เก่ง มีสมองดีที่สุดก็มักใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต มากกว่าเหตผล
นาย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ผู้ที่ศึกษาการเงินเชิงพฤติกรรมเคยกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนทุกคนมีกล่องดำที่เป็นส่วนประมวลผลการตัดสินใจอยู่ในสมองโดยไม่มี ใครรู้ว่ากล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่กระบวนการตัดสินใจนี้ไม่มีเหตผล เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" เมื่อคนแต่ละคนไม่ได้ใช้ความมีเหตุ มีผลในการคิดแล้วการลงทุนที่เป็นสิ่งสะท้อนความคิดของนักลงทุนแต่ละคน ย่อมไม่มีเหตุผล ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย มีคนเคยตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่เรียนด้านการลงทุน เก่งที่ 1-10 อันดับของระดับมหาวิทยาลัย Wharton กับไม่เคยมีชื่อเสียงในวงการลงทุนเลย ทำไมคนที่ IQ สูงขนาดนั้นถึงได้ไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นกัน
ย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยจะเห็นว่า คนที่ยิ่งฉลาด ยิ่งขาดทุนมากในตลาดหุ้น แต่คนที่ฉลาดปานกลางแต่หากมี EQ สูงแล้ว กลับสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่าเหตผลทั้งหมดจะค่อยๆถูกเฉลยในบทต่อๆไป ลองดูเหตการเหล่านี้
Ex1. คุณคิดว่าบริษัท A ผลประกอบการณ์ออกมาดีแน่ เลยซื้อหุ้นที่ราคาสิบบาท ตั้งใจจะขายในระยะสั้นๆที่่ 12 บาท เมื่อผลประกอบการณ์ออก แต่พอผลประกอบการณ์ออกมาดีดังคาดไว้ แต่ราคาหุ้นตกลงไป 8 บาท คุณทำใจขายทิ้งไม่ได้ (Avoid Regret) และคิดว่าหากราคาหุ้นกลับมาแค่เพียง10 บาท เท่าทุนก็จะขายไป ( Referance Point)
EX2. คุณซื้อหุ้นที่บริษัท B ที่ราคา 10 บาทจำนวน หมื่น หุ้น พอราคาหุ้นวิ่งไป 12 บาท คุณขายทำกำไรไป 20000 บาท พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไป 15 บาท คุณรู้สึกเสียดายอย่างมาก(เจ็บใจที่ขายเร็ว ขายหมู) พอราคาหุ้นเริ่มปรับตัวลงมาที่ 13 บาท คุณซื้อหุ้นกลับมาแต่คราวนี้ซื้อไป 20000 หุ้นเลย เพื่อเอากำไรเยอะๆ (โลภ เพราะพึ่งได้กำไรมา) ซื้อแล้วหุ้นวิ่งกลับไป 10 บาท เหมือนเดิม ปรากฏว่าเบ็ดเสร็จแล้วคุณขาดทุน 40000 บาท (งง?)
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านเคยประสบมาหรือเคยได้รับคำเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าโปรดอย่าตามหลัง "มวลชน" แบบหลับหูหลับตา อันที่จริงคำว่า"มวลชน"นั้นไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็น"เรา "และ "ท่าน" นั้นเอง พฤติกรรมของ "มวลชน" ก็คือพฤติกรรมของคนทั่วไปหากมวลชนตัดสินใจผิดพลาดหรือเกิดปฏิกริยาทางอารมณ์ อย่างรุนแรงเพราะความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เราและท่าน ก็ตกออยู่ในสภาพเช่นนั้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นลำพังการคิดว่าเราต้องปฏิบัติให้แตกต่างจากคนอื่นไม่เกิดประโยชน์ อะไร เพราะเรื่องเหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างทราบดีว่าควรทำอะไร ยกตัวอย่าง การสูบบุหรี่ ทุกคนทราบดีกว่า การเลิกบุหรี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่หากไม่"ปฏิบัติ"ก็ไม่มีทางก้าวพ้นจาก อุปสรรคทางความคิดและอารมณ์ที่ส่งผลให้เราไม่ประสบผลสำเร็จในตลาดหุ้นได้
ใน"วิกฤติ มีโอกาส" แต่จะมีซักกี่คน ที่มองข้ามผ่านเมฆหมอกแห่งความกังวลเห็นถึงวันข้างหน้าที่สดใสได้ ในเมื่อบรรยากาศทั้งหมด มันไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างดูจะแย่ลง แย่ลง คนเรามองเห็นสิ่งที่ใจรู้สึกหากบรรยากาศรอบตัวร้อนเราก็จะเห็นแค่ความร้อน เราจะนึกถึงเวลาอากาศเย็นไม่ถูกเลย สิ่งเหล่านี้เป็นวิทยาสาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า คนเราใช้ความรู้สึก ณ ขณะนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการตัดสินใจเรื่องใดๆ เช่น เวลาคนหิวจะชอปปิ้งมากกว่าเวลาอิ่มเป็นต้น
อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจ
คุณ อาจคิดว่าอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ แต่จริงๆไม่ใช่แม้คนที่มีเหตผลที่สุดหากขาดซึ่งอารมณ์ ก็จะไม่สามารถตัดสินใจใดๆได้ โดยเคยมีการศึกษาเรื่องนี้โดยนักประสาทวิทยา ชื่อ แอนโทนิโอ ดามาชิโอ ได้รายงานว่ามีคนไข้ที่สมองส่วน Ventromedical Frontal Crotices ถูกทำลายซึ่้งเป็นสมองส่วนที่ทำให้เกิดอารมณ์ แต่สมองส่วนความจำความฉลาดและความสามารถในการใช้เหตผลยังเป็นปกติอยู่ แต่จากการทดลองหลายครั้งพบว่า การปราศจากอารมณ์ในกระบวนการตัดสินใจได้ทำลายความสามารถในการตัดสินใจอย่าง สมเหตสมผล หมดไปด้วย
ดังนั้นหากสถานการณ์ไม่ดี ทิศทางที่สมองที่คิดได้ จากข่าวสารและความรู้สึกคือ สิ่งที่ดำเนินต่อไป ของความไม่ดี จะให้สมองสั่งการว่า "ดี" จะเป็นการยากสมองจะสั่งการขัดแย้งออกมาทันทีว่า "ดีจริงหรือ" ใช้เหตผลอะไรที่คิดว่ามันจะดี ? ดังนั้นการซื้อหุ้นตอนที่บรรยากาศร้ายสุด แม้แต่คุณเองยังกลัว คงทำได้ยาก เพราะสมองจะคิดขัดแย้งออกมาว่า "จริงหรือ คราวนี้อาจลงยาวนะ"
เครื่องมือเทคนิคกับอารมณ์
บางคนบอกว่าหากเราไม่ใช้อารมณ์เข้ามาในการลงทุนหุ้นแต่เชื่อเฉพาะเครื่องมือ ทางเทคนิคซึ่งเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้อ้างอิงใดๆเกี่ยวกับอารมณ์ของตลาดล่ะ จะได้ผลหรือไม่? คำตอบแรก ก็ต้องบอกว่าท่านที่คิดแบบนี้ ยังไม่เข้าใจเครื่องเทคนิคที่ดีพอ เพราะจริงๆแล้วเครื่องมือทางเทคนิคคือการใช้หลักสถิติศาสตร์ถอดแบบสภาพความ เป็นจริงในตลาดหุ้นแล้วนำมาพยากรณ์ความเป็นไปได้ต่อไป ซึ่งความเป็นจริงในตลาดหุ้นที่ถูกนำมาถอดแบบนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์"ความกลัว" และ "ความโลภ" ดังนั้นการใช้เครื่องมือก็ยังอิงกับอารมณ์ของตลาดอยู่ดี
คำตอบที่สอง ขออ้างถึงคุณ J. Wells wilder เจ้าของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น RSI (Relative Strength Index) PAR(Parabolic Sar) MOM ( Momentum) Volatility( แรงกระเพื่อมของระดับราคา) ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคเหล่านี้ สร้างชื่อเสียงให้กับ Wilder เป็นอย่างมาก แต่ในภายหลัง เขาได้ออกบทความใหม่ ที่ชื่อว่า Adam's Theory เป็นการปฏิเสธเครื่องมือทางเทคนิคของเขาที่คิดค้นมาก่อนหน้า โดยเขาบอกว่า ทฤษฎีใหม่นี้เป็นการตกผลึกในความคิด ความเข้าใจ ในเรื่องการลงทุน หลายสิบปีที่เขามี
ทฤษฎี Adam ตั้งอยู่บนข้อสรุปที่ว่า"ไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์อันไหนที่สมบูรณ์ในตัว ที่สามารถชี้นำการตัดสินใจ ลงทุนได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง 100% แต่เครื่องมือแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในวงการ ต่างมีข้อบกพร่องในตัวเองไม่อาจ"จับตลาด"จนอยู่หมัดได้ ด้วยเหตุว่าตลาดว่า ตลาดนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่มีลักษณะตายตัว แต่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้ตลอดเวลา
เขาตั้งคำถามว่า "หากเครื่องมือเหล่านั้นแม่นยำจริง ทำไมนักลงทุน ที่ใช้เครื่องมือเหล่านั้น จึงยังประสบความขาดทุนอยู่ เครื่องมือเหล่านั้นจะวิเคราะห์เฉพาะจุด ไม่ผิดกับตาดบอด คลำช้าง ไม่เห็นภาพรวมของตลาดหรือของตัวหุ้นนั้นๆ มันไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ผันแปรอยู่เสมอของตลาดหุ้นได้ "
ดังนั้นแม้เครื่องมือต่างอาจจะไม่มีความสมบูรณ์ในตัวมัน แต่หากเราเข้าใขอารมณ์ตลาด มาผสมผสานการ การวางแผน การลงทุนที่เข้าใจหลักจิตวิทยามวลชน การเล่นหุ้นจะทำได้ดียิ่งขึ้
Cradit:Pipsrunner
บัญญัติ 10 ประการ อยากรวยต้องรู้
1. " ความรู้ทางการเงิน สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า ความรู้ทางการงาน "
เพราะในชิวิตของคนเราทุกคนนั้น จะมีช่วงที่สามารถหา รายได้จากการทำงาน (
you at work ) จำกัด และจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณค่อนข้างยาวนาน จึงต้อง
รู้วิะีที่จะ "ใช้เงินให้ทำงาน" ( Money at Work)2. การออมเป็น " เกมแห่งระยะเวลา " ( Game Of Time ) ใครเริ่มต้นก่อน ก็รวยก่อน เพราะยิ่ง ทิ้งไว้นาน ยิ่งได้เป็นกอบเป็นกำ ถือเป็น " เงื่อนไขจำเป็น" ของทุกคนที่มีเป้าหมายต้องการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน
3.การลงทุนเป็น " เกมแห่งจังหวะเวลา" ( Game Of Timing) ต้องรู้จังหวะในการเข้าออกตลาดที่เหมาะสม ซื้อเมื่อต่ำ ขายเมื่อสูง หยุดเมื่อสงสัย เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ ยิ่งทิ้งไว้นาน จะยิ่งเสียหายมาก และทำให้โอกาสที่จะได้ทุนคืนนั้นยากขั้นเรื่อยๆ ( Losses are harder to regain)
4. การตัดสินใจเกี่ยวกับจังหวะการลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจซื้อสินค้าสำเร็จรูป (Product) แบบที่ตัดสินใจตอนซื้อครั้งเดียวจบ ถ้าไม่ได้ผล หรือใช้แล้วไม่พอใจ ก็ทิ้งมันไว้เฉยๆ จริงๆแล้วการลงทุนเปนกระบวนการ ( Process) ที่ต้องมีการเอาใจใส่ ติดตามผล และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา
5.หนทางนำไปสู่ ความสำเร็จไม่ได้เพียงเส้นทางเดียว จุดสำคัญในการบริหารการลงทุนนั้นไมไ่ด้อยู่ที่รุปแบบ วิธีการหรือ style ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเกมส์ภายนอก" Outer Game" แต่เป็นเรื่องทัศนคติ วิธีคิด พลังใจ ซึ่งเป็น "เกมภายใน" ( Inner Game)
6.ลำพังแค่การ " เอาชนะดัชนี" ( Beat the Index) ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ ก็ไม่มีใคร "เอาชนะตลาด" ( Beat The Market) ได้ เคล็ดไม่ลับในการยืนหยัดอยู่ในเกมส์การลงทุนอย่างตลอดรอดฝั่งในฐานะ " ผู้ชนะ" นั้น อยู่ที่การยืยอยู่ข้างเดียวกับตลาดไม่ใช่ ฝืนตลาด
7.ความ สำเร็จในการลงทุนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน จริงๆแลว มันอาจเปรียบได้กับการวิ่งระยะไกล ( Marathon) ไม่ใช่การวิ่งแข่ง 100 เมตร( Sprint) ดังนั้น คุณต้อง " รู้จักตัวเอง "( Know yourself) ว่าอะไรคือ style การลงทุนที่เหมาะสมที่เข้ากันได้กับความสามารถในการรับความเสี่ยง ( Risk Attitude) และทักษะในการลงทุน ( Risk Aptitude) เพราะนั้นคือ "ระบบ" ที่คุณต้องใช้ในเพื่อ "ทำธุระกิจ" นี้ในระยะยาว
8. ในการใช้เงินต่อเงินนั้น คุณต้อง " รู้จักเครื่องมือ " ( Know the vehicle) ว่ามีลักษณะ และรุปแบบการให้ผลตอลแทนอย่างไร มีข้อดี ข้อเสีย และข้อจำกัดอะไรบ้าง
9. นอกจากนี้ คุณต้อง " รู้จักตลาด " ( Know the Market) คือ รู้ว่าตลาด การเงินมีธรรมชาติอย่างไร อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังที่ทำให้เกิด การกระเพิ่อมขึ้นลงของตลาด และรู้วิธีการในการบริการความเสี่ยงในการลงทุนว่าต้องแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้อย่างไร
10. อย่าติดอยู่กับดักของ " การบริโภคข้อมูลเกินขนาด" ( Information overload) ซึ่งมั่วแ่ต่สนใจหาข้อมูล ศึกษาวิเคราะหฺ จนไม่กล้าลงมือ ปฏิบัติ( Analysis paralysis) เพราะมีความเชื่ออย่างผิดๆ แบบพวกมองโลกแบบสมบูรณ์ ( Perfectionish) ว่าถ้ามีข้อมูลที่สมบูรณ์จะไม่เกิดความผิดพลาด ( Zero-Defect-Mentality) จริงๆแล้ว หัวใจสำคัญของการบริหารการลงทุนนั้นอยู่ที่การ " จำกัดความเสี่ยง" ( Risk Limitation) ไม่ใช่ " กำจัดความเสี่ยง"( Risk Elimination) ถ้าถามว่ากฏที่สำสำคัญทีสุดที่สรุปได้จากการปฏิบัติ ( Rule Of Thumb) ของผู้เขียนหนังสือชุด " อยากรวย ต้องรู้" คืออะไร ก็อยากตอบว่า Rule Of "ทำ" นั่นคือ "รู้แล้วต้องทำ" เพราะในภาษาอังกฤษ คำว่า "โชคลาภ " ( Luck) เป็นตัวย่อของ Laboring Under Correct Knowledge
แปลว่า "ลงมือทำ ด้วยความพากเพียร โดยอาศัยความรู้ที่ถุกต้อง " นันเอง
Cradit:Pipsrunner
กฏ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วยการวิเคราะห์ ทางเทคนิค
กฏทั้ง 10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป้นรุปแบบได้ ซึ่งให้กฏเหล่านี้ จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม หาจุดกลับตัว ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย ( moving average) มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หาคุณสามารถเข้าใจและปฏิตามหลักการเหล่านี้ เชื่อว่าคุณก็จะสามารถเอาตัวรอดด้วยการลงทุนแบบวิเคราะหฺทางเทคนิคได้แน่นอน
1. ดูแนวโน้ม ( Trend )
เรียน รู้ Chart กราฟ ในระยะยาว โดยเริ่มจาก กราฟ ในระดับเดือน Monthly และ สัปดาห์ ( weekly) ของช่วงเวลา ( Time Frame) หลายๆปี การดูกราฟช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะสามารถทำให้มองเห็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาว ได้อย่างแม่นตรงกว่าการมองกราฟในระยะสั้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว ก็ต้องกลับดูกราฟระยะสั้น ระดับวัน Daily ระดับ ชั่วโมง Hourly การดูแนวโน้มในระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เิืกิดข้อผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้นคุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศ ทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและระยะยาว ( Middle Term and Long Term )
2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม ( Analysis and follow trend)แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว(Long Term) ระะกลาง(Middle Term) และระยะสั้น(Short Term) สิ่งแรก คือ คุณต้องรู้ว่าคุณลงทุนเป็นระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ กราฟของช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยที่คุณไม่แน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับ แนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขั้น ( Up trend) และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง ( Down Trend) หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้กราฟในระดับวันและัสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนในระยะสั้น ให้ใช้กราฟระดับวันและชัวโมง อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้กราฟของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย
3.การหาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อBuy/Long ก็คือจุด ที่ไกล้แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายSell/Short ก็คือ จุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสงสุดของกรอบราคาการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนที่แนวต้าน แนวต้านก็กลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลงอีกนัยนึง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่และเ่ช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่
4.รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน จึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้นลงเป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะ มีการกลีบตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนของแนวโน้ม ของช่วงเวลาก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นลงของแนวโน้มปัจจุบันโดยใช้ อัตรส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขั้นหรือลง 50%ของแนวโฯ้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อนหน้านั้น และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนใจคือ อัตราส่วนของFibonacci 38.2% 61.8 % ดังนั้นเมื่อตลาดมีการพัดตัวในแนวโน้มขาขึ้นจะมีจุดซื้อคืนจุดแรก เมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด
5.ใช้เส้นแนวโน้ม TrendLine เส้น แนวโน้ม TL เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่ต้องคำนึงมีเพียงของเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนกราฟ เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด / 06f ที่อยู่ไกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดที่อยู่ไกล้กัน ราคามักจะเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนที่กลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หาราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลีี่ยนแปลงแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนที่แตะที่เส้น สาม ครั้ง เป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้มและยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความ สำคัญมากขึ้น
6.ติดตามเส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average)
หมาย ถึงการ เคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย( Moving Average) ซึ่งจะบอกถึงราาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เ้ส้นค่าเฉลี่ยนี้จะแสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใด และช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตามเส้่นค้่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำ ลังจะเปลียน รุปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้น เพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กัน คือ period 5 , 10 , 20 , 34, 50 , 89 , 100 , 200 โดยทั่วไปแล้วจะจับคู่กันระหว่างเส้นแนวโน้มระยะสั้น และระยาว เส้นแนวโน้มระยะสั้นจะมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 และ เส้นแนวโน้มระยะยาวจะมากกว่า Period 50 สัญญาณการชื้อ ขาย เกิดขึ้นเมื่อ แนวโน้มระยะสั้นตัดกับแนวโน้มระยะยาว เช่น เส้นแนวโน้ม Period 5 ตัดกับ 50 เมื่อตัดกันแล้ว คุณก็ ซื้อ ด้วยเหตนี้ เส้นแนวโน้มค่าเฉลี่ยจึงเหมาะกับตลาดที่อยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หรือตลาด มีเทรน
7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators เป็นเครื่องมือที่ช่วงของขอบเขตอยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เป็น เครื่องมือที่วัดการแกว่งของตลาด เหมาะ สำหรับตลาด ที่มีเทรนไม่แน่นอน เป็นดัชนีที่ช่วยบ่งชี้จุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะีี่ที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดจุดกลับตัว Oscillator ที่เป็นที่นิยมได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastic ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillator เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน70 จะแดงว่ามีการซื้อที่มีมากเกินไป ( Overbought)และต่ำกว่า 30 แสดงว่ามีการขายมากเกินไป ( Oversold) ค่า OB และ OS สำหรับ Stochastic คือ80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 และ 9 สำหรับRSI และ Stochastic ใช้ค่า( 8 3 3 ) ( 14 3 3 ) ( 17 4 8 ) และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความพึ่งพอใจของแต่ละบุคคล สัญญาณการกลับตัวที่เกิดขึ้นใน Oscillator จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเล่นเกร็ง กำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณในระดับวัน สำหรับยืนยันสัญญาณในรายชั่วโมง
8.มองเห็นสัญญาณเตือน Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด(พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ oscillator ไว้ด้วยกัน สัญญาณที่จะซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่าา โดยทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า 0 Zero line สัญญาณขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าเหนือ 0 Zero Line สัญญาณในระดับสัปดาห์ จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD Histogram ซึ่งมาลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่างMACD สองเ้ส้น สามารถส่งสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย
9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Direction Index( ADX) เป็นดัชนี ที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่และเป็นตัวช่ยวัดว่าแนวโน้ม อยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขึ้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก คงรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเกร็งกำไรระยะสั้นคงรใช้ Oscillator ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกใข้เครื่องมือที่เหมาะ สมกับสภาวะตลาด
10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยนยันแนวโน้มสัญญาณ ที่ให้ การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่ เข้ามาซื้อขายใหม่(Open Interest) ทั้ง สอง ตัวนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่างหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขาย อย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจบัน ในแนวโน้มขาขั้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน Open Interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก Open Interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนัั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้น ราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรมีปริมาณซื้อและ Open Interest หนุนอยู่ด้วย
Cradit:Pipsrunner
สัญญาณกราฟแท่งเทียน เพื่อหาจุดกลับตัวของราคา
ถาม : ทำไมต้องศึกษารูปแบบพวกนี้
ตอบ : เพราะราคา มักจะมีรูปแบบเฉพาะตัว ที่มักจะมี รูปแบบของแท่งเทียน บอกให้เรารู้ว่า ราคาต่อไปจะเป็นอย่างไร สรุปคือ รูปแบบพวกนี้ มีการเก็บสถิติ ว่า มีการเกิดขึ้นบ่อยๆ และมีการเก็บสถิติต่อว่า เมื่อเกิดรูปแบบที่ว่าแล้ว ราคามันจะเป็นอย่างไรต่อไป
กร๊าฟแทงเทียนโดยทั่วไปจะมี อยู่ 2 สี ที่ต่างกัน คือ เขียว กับ แดง (แต่ปรกติตัวโปรแกรมสามารถตั้งเป็นสีอะไรก็ได้) อย่างที่บอก กร๊าฟแทงเทียน 1 แทง คือการต่อสู้กันของพลังซื้อ กับพลังขาย หากกร๊าฟ นั้นเป็นสีแดง นั้นคือ ในแท่งนั้น พลังขายชนะ หาก เป็นสีเขียว นั้นคือ พลังซื้อชนะ
ส่วนที่เป็นบริเวณไส้เทียน นั้นคือ จุดสูงสุด หรือสุดต่ำสุด ที่พลังทั้ง 2 สู้กัน
แต่ถ้าหากว่ากร๊าฟแท่งเทียน ไม่มีตัว นั้นหมายถึง ราคาปิด กับราคาเปิด เป็นจุดเดียวกัน หรือพูดง่ายๆก็คือ พลังซื้อ กับ พลังขาย มันมีพลังพอๆกัน ในช่วงแท่งเทียนนนั้น
สำหรับเจ้าโดจิป้ายศพ ตามรูปข่างล่าง หากเกิดขึ้นที่ยอดของราคาหุ้น มันก็ตามความหมายเลย ต้องรีบขายซะ
...........................
ทีนี้มาดูกร๊าฟแท่งเทียนรูปแบบค้อนกันบ้าง ตามรูปข้างล่าง จะแดงหรือ เขียวก็ได้ โดยจะต้อมมีตัวอยู่ข้างบน ไส้เทียนด้านบน อาจจะมี แต่ต้องสั้นมาก และใส้เทียนข้างล่างจะต้อง ยาวกว่า ตัว 2-3 เท่า
เรียกว่ารูปแบบค้อน หรือ แฮมเมอร์ รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า มีโอกาสถึงจุดกลับตัวค่อนข้างสูง นั้นคิอ ราคามันจะขึ้น
.....................................
อีกรูปแบบเรียกว่า คนแขวนคอ ความหมายก็น่ากลัวตามชื่อนั้นแหละ นั้นคือ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ราคาต่ำกว่า แท่งเทียนคนแขวนคอ มีโอกาสที่จุดนี้จะเป็นจุดกลับตัว
........................................
ตัวอย่าง จะเห็นในรูปที่ ที่จุดที่ 1 นั้น มีการกลับตัว แต่สัญญานยังไม่ชัดเท่าอันที่ 2 เพราะ จะเห็นว่า จุดที่ 2 นั้น หางมีความยาวกว่าตัวมาก สัญญาณ จึงชัดกว่า
...................
ต่อไปเป็นรูปแบบ ที่เรียกว่า รูปแบบ กลื่นกิน หรือ Engulfing Pattern
มีข้อแม้ว่า
1. ตลาดต้องมีแนวโน้มที่ชัดเจนอยู่แล้วก่อนหน้านั้น เช่น ขึ้นก็ขึ้นเอาๆ หรือลงก็ลงเอาๆ
2. ตัวแท่งเทียน ที่ 2 ต้องคอบคุม ตัวแท่งเทียนแรกทั้งหมด ยิ่งคุมมากสัญญาณก็ยิ่งชัด (แต่ไม่จำเป็นต้องคอบคุมใส้เทียนทั้งมด)
3. แท่งเทียนที่ 2 จะต้องมีสีต้องกันข้ามกับแท่งเทียนอันแรก
รูปแบบ ตามรูปข้างล่าง หากเจอรูปแบบนี้ มีโอกาส เปลี่ยนเทรนสูง
เช่นข้างล่าง ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆก็เจอแท่งเทียนสีแดง ที่มีพลังขายชนะพลังซื้อ เมื่อถึงเวลานี้ ตลาดก็เริ่มงงว่าจะเอายังไงกันแน่ จะขึ้นหรือจะลง พอเจอแท่งเทียนที่ 2 แท่งเทียนแท่งที่ 2 นี้ พลังซื้อ กับพลังขาย ต่อสู้กันอย่างรุนแรง จนสุดท้าย พลังซื้อชนะ ราคาของกร๊าฟ ก็เลยได้เทรนใหม่ กลายเป็นเทรนขึ้นไปเลย เพราะพฤติกรรมของราคา ประมาณว่า แห่กันไป ใครตกเทรนก็ซวยไป ประมาณนั้น
ส่วนรูปข้างล่างก็แนวๆเดียวกัน ก็ประมาณว่า ราคาขึ้นอยู่ดีๆ อยู่ๆเจอแท่งเทียนที่พลังซื้อชนะพลังขาย จากนั้น ตลาดก็เริ่มงงว่า จะเอายังไงแน่ พอเจอแท่งที่ 2 เข้าไป ก็เลยได้ข้อสรุปว่า งั้นก็ลงกันสิฟ๊ะ ก็เลยแห่กันตามไป และเหมือนเดิม ใครตกเทรน ก็ซวยไป
มาดูตัวอย่างในราคาหุ้นของ vannachai group ในกรอบสี่เหลี่ยม จากราคาขึ้นอยู่ดีๆ เจอรูปแบบ กลื่นกินเข้าไป เปลี่ยนเทรนเลย
..........................
มาในรูปแบบต่อไป เรียกว่า เมฆดำปกคลุม (Dark Cloud Cover)
รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ รูปแบบ "กลื่นกิน" อยู่เหมือนกัน ประมาณว่า กร๊าฟขึ้นอยู่ดีๆ แล้วก็มาเจอแท่งเทียนที่ 2 (เป็นแท่งสีแดง) และจุดเปิดของแท่งสีแดง ดันสูงกว่าจุดปิดของแท่งสีเขียว (หากว่าสูงกว่าใส้เทียนสูงสุดของแท่งสีแดง จะเป็นการยืนยันสัญญาณที่ชัดเจน)
ที่ที่สำคัญ จุดปิดของแท่งสีแดง ต้องต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นส์ ของแท่งสีเขียว
ส่วนรูปแบบกลับกันเรียกว่า รูปแบบ "ทิ่มแทง" Piercing คือประมาณว่า ราคาลงอยู่ดีๆ อยู่ๆ ก็เจอแท่งสีแดงแท่งแรก แล้วมีแทงสีเขียวตามมา แบบนี้มีข้อแม้ว่า
1.ราคาปิดแท่งแดง ต้องสูงกว่า ราคา เปิดแท่งเขียว
2.ราคาปิดแท่งเขียว ต้องเกิน 50 เปอร์เซนส์ของตัวของแท่งเทียนสีแดง ยิ่งเกินเยอะสัญญาณยิ่งชัด
มาดูตัวอย่างของกร๊าฟ SET มีทั้ง 2แบบ
รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบที่ต่อเนื่องกับ เมฆดำปกคลุม และ ทิ่มแทง แต่ต่างกันที่ แท่งสีเขียว ไม่สามารถผ่าทะลุ 50 เปอร์เซ็นของตัวแท่งสีแดงไปได้ นั้น หมายความว่า แนวโน้ม ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง (ยังไม่ใช่รูปแบบ การกลับตัว)
มีรูปแบบเช่น
1. On neck
2. In neck
3. Thrusing Pattern
รูปข้างล่างนี้แสดงให้เห็นว่า แท่งสีเขียว ไม่สามารถทะลุ 50 เปอร์เซ็นส์ของแท่งสีแดงไปได้ จึงไม่ใช่จุดกลับตัว
............................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า "รูปแบบดาวตก" shooting star
รูปแบบนี้พบบ่อย แท่งเทียนจะเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญจะต้องมี Gap นั้นคือ การเปิดตัวกระโดดขึ้นไป หาง (ไส้เทียนจะต้องยาว ยิ่งยาวยิ่งดี) และ หากแท่งเทียนแท่งต่อไป ลง นั้นคือสัญญาณที่ชัดเจน
รูปแบบต่อไป เป็นรูปแบบ ที่ตรงกันข้ามกับ ดาวตก นั่นคือ "รูปแบบฆ้อนกลับหัว" หรือ Invert Hammer
รูปแบบนี้ตัวแท่งเทียน จะสีอะไรก็ได้ แต่ที่สำคัญต้องมี Gap อีกเช่นกัน และ แท่งเทียนต่อไป หากมีการปิดที่ ราคาสูงขึ้น นั่นเป็นการยืนยันสัญญาณ
...........................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า รูปแบบ "คนมีท้อง" หรือ Harami Pattern
แท่งเทียนจะสีอะไรก็ได้ แต่ว่า แท่งที่ 2 จะต้องเล็กกว่าแท่งแรก รูปแบบนี้จะตรงกันข้ามกับ รูปแบบกลื่นกิน
ส่วน แท่งที่ 3 ถ้าขึ้น หรือลง นั่นเป็นตัวยืนยันสัญญาณ ทำไมถึงเรียกว่า คนมีท้อง ก็ดูดีๆ ว่า แท่งแรก เขาว่ามันเหมือนคน ส่วนแทงที่ 2 เขาว่า มันเหมือนท้อง เลยเป็นคนอุ้มท้องไปซะเลย ช่างคิดจริงๆ ฮ่าๆ
นี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นที่ SET ลงดูในกรอบสี่เหลี่ยม จะพบว่า เกิดรูปแบบ คนมีท้อง จากนั้น แท่งที่ 3 เป็นการยืนยันว่า การขึ้นมันจบแล้วนะ
....................................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า ฮารามิกากบาท หรือ Harami Cross คือเหมือนกับคนมีท้องนั่นแหละ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า เพราะตัวกากบาท หรือที่เราเรียกว่า ตัว โดจิ เป็นการสู้กันของ ราคาซื้อ และราคาขาย แบบว่าเสมอกัน กินกันไม่ลง แต่ตัวแปล นั้น กลับอยู่ที่ แท่งเทียนที่ 3 ว่าจะขึ้นหรือลง ดัง้นั้นแท่งที่ 3 เป็นตัวยืนยันสัญญาณ ดั้งนั้น แท่งที่ 3จึงสำคัญมาก
ปล. แท่งเทียนยิ่งสแกลใหญ่ ยิ่งมีความแมนย่ำสูง เช่น แท่งเทียน 1 วัน แมนย่ำ กว่าแท่งเทียน 1นาที
มาดูตัวอย่างใน SET ในรูปสีแหลี่ยม จะเห็น Harami Cross จากนั้นมันก็จะปรับตัวขึ้นเลย แท่งที่ 3 สำคัญมาก
.........................
ต่อไปเป็นรูปแบบ Tweezer Top กับ Tweezer Bottorn หรือ บางคนก็อาจจะเรียกว่า Double Top กับ Double Bottorn รูปแบบ นี้เป็นการผสมผสานกับ ลักษณะสัญญาณข้างบน เช่น Harami Cross , Harami Pattern , shooting star ฯลฯ
แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งก็คือ ในส่วนของ Double Top ราคาสูงสุดจะเท่ากัน และ Double Bottorn ราคาต่ำสุดจะเท่ากัน รูปแบบนี้ จะเป็นการเพิ่มสัญญาณความแรง เป็นการยืนยันสัญญาณที่แรงกว่าว่างั้นแหละ
...........................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า เข็มขัดกระทิง หรือ Bullish Belt Hold และรูปแบบตรงกันข้ามคือ เข็มขัดหมี หรือ Bearish Belt Hold รูปแบบนี้ดูเหมือนจะคล้ายๆ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ
^
^
รูปแบบ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ
แต่มันจะต่างกันที่ แฮมเมอร์ กับคนแขวนคอ มันสีอะไรก็ได้ แต่รูปแบบ เข็มขัด ตามสีในรูปข้างล่าง และที่สำคัญ รูปแบบเข็มขัด ตัวจะยาวกว่าหาง
ตัวอย่างรูปแบบกระทิงในรูปข้างล่าง
.......................
รูปแบบต่อไปเรียกว่า อีกา 2 ตัวบนช่องว่าง (Upside Gap Two Crows)
อีกาเป็นความโชคร้ายของญี่ปุ่น
คือในรูปข้างล่าง เราจะต้องมี Gap คือ ราคาเปิดกระโดดสูงขึ้นไป แต่สุดท้าย กลับปิดในแรงบวกไม่ได้ (อีกาตัวแรง) จากนั้น ตลาดก็เริ่มงง ว่าจะเอายังไงดี ก้มาเจอ อีกาตัวที่ 2 พอเจออีกาตัวที่ 2 คราวนี้ชัดเลย แท่งที่ 3 (ยืนยันสัญญาณ) ก็เริ่มลง
จะเห็นว่า มันคล้ายๆ Harami (คนมีท้อง)เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ อันนี้มันมี Gap และคนมีท้อง ท้องจะอยู่ด้านขวา
อีกตัวจะเรียกว่า อีกา 3 ตัว (Three Black Crows) อีกามากัน 3 ตัวเลย แบบนี้ ไม่ต้องมี Gap ก็ใช้ได้ แต่ อีกา 3 ตัวนั้น ต้องราคาต่ำลงเรื่อยๆ
ตัวอย่าง
.........................
รูปแบบต่อไป ผู้เขียนเรียกง่ายๆว่า "กระทิงโต้กลับ" แต่ชื่อจริงๆคือ เส้นทางการตีโต้กลับกระทิง (ชื่อยาวจริงๆ) หรือ Bullish Counterattack Line
ข้อแม้คือ
1.แท่งเทียนแท่งแรกต้องเป็นสีแดง
2.แท่งเทียนที่ 2 ต้องเป็นสีเขียว
3.แท่งเทียนสีเขียว พอเปิดแล้ว ราคาต่ำลงมา พอถึงจุดหนึ่ง กลับตีโต้ราคาขึ้นไป จนไปปิด ที่ราคาเท่ากับราคาปิดของแท่งสีแดง ประมาณว่า สีเขียวตีโต้สีแดง
ต่อไปเป็นรูปแบบที่ตรงกันข้าม ผู้เขียนขอเรียกง่ายๆว่า "หมีโต้กลับ" แต่ชื่อเต็มๆคือ เส้นทางการโต้กลับหมี หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Bearish Counterattack Line
มีข้อแม้คือ
1. แท่งเทียนอันแรกต้องเป็นสีเขียว
2. แท่งเทียนแท่งที่ 2 เป็น สีแดง
3. ประมาณว่า แท่งเทียนแรก สีเขียว ราคากำลังขึ้นอยู่ดีๆ พอแท่งที่ 2 ก็ยังขึ้นอยู่ พอถึงจุดสูงสุดของราคา กลับโดนโต้ด้วย หมี (สัญญาณขาย)จนกลับมาปิดที่ จุดเริ่ม พอแท่งที่ 3 ราคาก็ลงต่อ เป็นการยืนยันสัญญาณลงเข้าไปอีก
ตัวอย่าง
................................
รูปแบบต่อไป เรียกว่า ยอดหอคอย หรือ Tower Top
รูปแบบนี้ถือว่าเป็นรูปแบบ "ผสม" ดังนั้น จึงค่อนข้างอธิบายในเชิงวิชาการยากนิดหน่อย แต่สามารถ อธิบายภาษาชาวบ้าน ประมาณว่า
ราคา ขึ้นมาสักพัก ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มหมดแรง และลงนิดหน่อย (ในแท่งที่ 3) จะนั้นตลาด เริ่มงง ว่าจะเอายังไงต่อ ก็ได้คำตอบว่า ขึ้นอีกสักนิดน่า จนสุดท้าย ความเชื่อที่ว่า ราคาจะขึ้นต่อ ได้หมดลงไป จนเจอ แท่งสีแดง ขนาดใหญ่ เป็นการยืนยันการกลับตัว ได้เยืยมเลย ยิ่งแท่งที่ 7 เป็นการยืนยันอย่างดี
..........................
แท่งเทียนในรูปแบบต่อไป เรียกว่า Evening Star หรือ ดาววีนัส
ข้อแม้คือ
1.จะต้องมี Gap
2. แท่งที่เป็นดาว สีอะไรก็ได้ แต่ตัวของมันต้องสั้นๆในรูปแบบดาว และไส้ของมันต้องสั้นๆด้วย (แท่งที่ 2)
3. แท่งเทียน 2 ข้าง ต้องเป็นสีที่อยู่ในรูป (บังคับ)
4. ต้องมี 3แท่งจึงจะครบองค์ประกอบ
หลักการก็คล้ายๆกับ ดาววีนัส แต่ตรงกันข้ามเท่านั้นเอง
ตัวอย่าง
รูปแบบที่ใกล้เคียงคือ Evening Doji Star หรือ ดาววีนัสโดจิ เป็นรูปแบบที่เหมือนดาววีนัสทุกอย่าง แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า
รูปแบบที่ใกล้เคียงอีกอันเรียกว่า Moming Doji Star ลักษณะก็เหมือนกับ ดาวเมอคิวรี่ แต่จะให้สัญญาณที่แรงกว่า
จบตอนแล้ว ความรู้คืออำนาจ หากศึกษา ก็จะสามารถพึ่งพาตัวเองได้
Cradit:My favorite article
ลงทุนเก็งกำไรระยะยาว สไตล์ Cway
คน
อายุน้อยก็มีข้อจำกัดเรื่องวุฒิภาวะ
การควบคุมอารมณืและข้อสำคัญถ้ายังไม่เคยทำงานหรือประกอบอาชีพมาก่อน
อาจจะมองไม่เห็นคุณค่าของเงินมากพอ ทำให้เกิดการลงทุนแบบเสี่ยงๆ
และพยายามใช้ความกล้าได้กล้าเสียมาวัดดวง จนสุดท้ายก็กลายเป็นการพนันไป
ยิ่งลูกผู้ดีมีเงินที่หาเงินได้ง่ายจากทรัพย์ของพ่อแม่แล้วนั้น
การลงทุนแบบเกินตัว ขาดการจัดการด้านเงินทุนที่ดี โอกาสหมดตัวก็สูง
ตลาด
หุ้น แท้จริงก็คือสนามรบสำหรับนักเก็งกำไร ทุกบาทที่ท่านได้มา
นั้นย่อมมาจากเงินของผู้อื่นที่เสียไป
แต่การสู้รบในสนามแห่งนี้ไม่ได้เกิดจากการสู้กับผู้อื่น
แต่มันมาจากการสู้รบกับตัวเอง สู้กับจิตใจของตนเอง
โดยส่วนตัวผมสนับสนุนให้คนมาลงทุนตั้งแต่อายุไม่มาก
ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ ยิ่งเงินน้อยยิ่งได้เปรียบ
มาเรียนรู้จากการลงทุนจริง เจ็บจริงแล้วเก็บบทเรียนไปเป็นภูมิคุ้มกัน
ผ่านไปนานปี ความเก๋าก็จะมากพอ ถึงท่านจะไม่มีฝีมือเก็งขั้นเทพ
แต่รับรองว่า ท่านจะไม่โง่ทำอะไรผิดซ้ำ แยกแยะได้ว่าลงทุนแบบไหนจะขาดทุน
แบบไหนจะไม่ขาดทุน
การลงทุนระยะยาว
การ
ลงทุนแบบเก็งกำไร
ระยะยาวเป็นอีกรูปแบบการลงทุนที่ผมคิดว่ามันเหมาะกับรูปแบบการออมเงินในตลาด
หุ้น โดยมีคาบเวลาการลงทุนระยะ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป
ซึ่งใช้เวลาในการติดตามหุ้นไม่มากนัก จะเหมาะสมกับ
นักลงทุนที่ทำงานประจำหรือมีไม่มีเวลาติดตามราคาหุ้นทุกวัน
หลัก การคือนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นในขณะที่มีราคาต่ำ แล้วไปขายเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น คำถามคือเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะปรับตัวสูงขึ้น??? คำตอบคือ เราต้องดูถึงปัจจัยที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวบอกโอกาสและความน่าจะเป็นในการเติบโตของผลกำไรในอนาคต
หลัก การคือนำเงินไปลงทุนซื้อหุ้นในขณะที่มีราคาต่ำ แล้วไปขายเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้น คำถามคือเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะปรับตัวสูงขึ้น??? คำตอบคือ เราต้องดูถึงปัจจัยที่จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวบอกโอกาสและความน่าจะเป็นในการเติบโตของผลกำไรในอนาคต
การวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจ
การ
ลงทุนระยะยาวจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของบริษัท
ภายใต้แนวคิดว่า ผลประกอบการที่ดี นั้นจะสะท้อนออกมาในรูปแบบราคาหุ้น
การมองหาโอกาสนั้นดูได้จาก
1. การวิเคราะห์เศรษฐกิจ
การ
วิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรของ
ตัวบริษัทในอนาคต
โดยต้องวิเคราะห์หาปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกและปัจจัยที่เป็นลบ
ต่อตัวบริษัท และทำการหาข้อมูล ศึกษาบทวิเคราะห์
เพื่อดูถึงการคาดการณ์สภาพเศรษฐกิจที่จะเกิด เช่น อัตราดอกเบี้ย
,นโยบายของรัฐบาล ,GDP , รายได้บุคคล, ภาวะเงินเฟ้อ, อัตราแลกเปลี่ยน
และดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นต้น
ข้อมูล
และการวิเคราะห์ตัวเลขเหล่านี้สามารถหาอ่านได้จาก บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์
หรือของนักเศรษฐศาสตร์ สำนักต่างๆที่ออกมา เราควรนำมาประมวลผล หาปัจจัยบวก
ต่อหุ้นตัวที่เราสนใจ
2. การวิเคราะห์อุตสาหกรรม
เป็น
การวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม เพื่อดูวัฏจักรของอุตสาหกรรมนั้นๆ
ก่อนที่จะทำการลงทุน การที่เราสามารถลงทุนในหุ้น
กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงระยะเจริญเติบโต
โอกาสที่จะได้กำไรย่อมมีมากและสูงไปด้วย
นอก
จากนี้ยังต้องประเมินปัจจัยที่เป็นบวกต่อกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น
ราคาวัตถุดิบ, การสนับสนุนจากภาครัฐ, มาตรการทางภาษี
และเรื่องการแข่งขันภายในกลุ่มอุตสาหกรรม
3. การวิเคราะห์ตัวบริษัท
เป็น
การมุ่งวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท เข้าไปศึกษางบการเงิน
หรือพิจารณาที่ผลประกอบการเบื้องต้น เช่น กำไรสุทธิ , ยอดขาย และสภาพคล่อง
โดยการพิจารณามุ่งเน้นไปเพื่อหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโต ได้แก่
- เลือกหุ้นที่กำไรสุทธิที่เติบโตดีเด่น เช่นกำไรโตเป็นสองเท่าของไตรมาสก่อน
- เลือกหุ้นที่กำไรสุทธิที่เติบโตต่อเนื่อง หลายไตรมาสติดต่อ
- เลือกหุ้นที่พลิกจากขาดทุนเป็นกำไร เช่นพวกขาดทุนหลายปี แล้วกลับพลิกเป็นกำไรได้ หรือกลุ่มพวก Turn around
-
เลือกหุ้นวัฏจักร ในช่วงระยะขาขึ้น เช่นกลุ่ม commodity cyclical พวก
เหล็ก ปิโตรเคมี ถ่ายหิน น้ำมัน เดินเรือ และ แร่ธาตุต่างๆ
หุ้นกลุ่มพวกนี้ที่เริ่มฟื้นคืนชีพจากขาลงจะ มีการเติบโตที่ดีและต่อเนื่อง
เพราะเป็นบริษัทที่แข่งแกร่ง ซึ่งผ่านจุดต่ำสุดมาได้
บวกกับคู่แข็งมีการล้มตายไปบางส่วน
ทำให้ดีมานด์ในตัวสินค้าที่จำหน่ายมีมากขึ้น ผลประกอบการก็จะเติบโตขึ้นตาม
การวิเคราะห์ทิศทางราคาหุ้น
การ
ลงทุนระยะยาว ก็ยังคงมีความเสี่ยงแต่ย่อมน้อยกว่าการลงทุนระยะสั้น
ที่มีความผันผวนสูง การลงทุนระยะยาว
เป้าหมายคือการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตของราคาในอนาคต
ดังนั้นจังหวะการเข้าซื้อ และขายหุ้น จึงเป็น
หัวใจสำคัญของการลงทุนลักษณะนี้
การ
ที่เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มขาขึ้น
ย่อมทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนที่สูง
ย่อระยะเวลาในการได้รับผลตอบแทน
และปิดช่องการขาดทุนเนื่องจากการปรับตัวลงขอราคา การวิเคราะห์ทางเทคนิค
สามารถช่วยในการหาจังหวะลงทุนระยะยาวได้อย่างแม่นยำ ผมเองใช้ indicator
และเครื่องมือทางเทคนิคเบื้องต้น ดังนี้เพื่อกำหนดจังหวะลงทุน
1. Time Frame
กรอบ
เวลาของกราฟราคา ที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุนระยะยาว
ตัวผมเองใช้ระยะเดือน (Month)
โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์แบบกลยุทธการลงทุนระยะยาว 6 เดือนขึ้นไป
การใช้ข้อมูลระดับเดือน จะช่วยลดการผันผวนจากการเก็งกำไรระยะสั้น
และปัจจัยผลกระทบระยะสั้น เช่น ข่าว ต่อราคา ทำให้เราไม่สับสน
และหวั่นไหวต่อการเคลื่อนไหวของราคา ตามตลาด
2. Exponential Moving Average (EMA)
EMA
เป็นเครื่องมือพื้นฐาน การคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาหุ้น
โดยในระบบการลงทุนระยะยาว ท่านสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ
แต่โดยทั่วไปค่าที่เป็นกลางได้แก่ EMA6
หรือคือการพิจารณาการเคลื่อนตัวของข้อมูลราคาระดับ 6 เดือน
3. Keltner Channel
Keltner Channel
เป็นเครื่องมือประเภท Band Indicator
ที่เราสามารถใช้ในการหา turning point หรือจุดกลับตัวของกราฟราคาได้
แน่นอนว่าการลงทุนระยะยาว หัวใจสำคัญคือการเข้าซื้อหุ้นในช่วงกราฟขาขึ้น
(Uptrend) การมองหา turning point ได้เร็ว
ก็จะเป็นการหาตำแหน่งเข้าซื้อได้เร็วด้วย เช่นกัน โดย truning Point
สามารถหาได้จาก
กลุ่มแท่งเทียนที่เบียดตัวแตะหรือทะลุออกนอกกรอบของ Keltner Channel
กรณีขอบบนก็จะเป็น จุดกลับตัวของ ขาลง ส่วนขอบล่างจะเป็นจุดกลับตัวขาขึ้น
โดยจุด TP ทั่วไปความชันของทิศทางราคาจะเข้าใกล้ 0
นอก
จากนี้ Keltner Channel ยังใช้ในการระบุ แนวโน้มของราคาได้ด้วย
โดยเส้นขอบบน และ เส้นขอบล่างจะ ครอบความกว้างของช่วงราคา กรณีขนาด
Bandwidth กว้าง ก็จะบ่งบอกถึง ความรุนแรงและชัดเจนของแนวโน้ม ส่วนเส้นกลาง
KC AVG เส้นนี้บ่งบอกแนวโน้มของราคา ว่าเป็นขาขึ้นหรือลง
กรณี sideway แบนด์จะบีบตัวแคบและเป็นแนวตรงนอนยาวไปตลอด
4. Raff Regression
Raff
Regression คือเครื่องมือในการดูแนวโน้ม ทิศทางของราคาหุ้น
เนื่องจากการลงทุนระยะยาวตามกลยุทธของผม เราจะหมอบ(ไม่ทำอะไร) ในช่วงราคา
sideway โดยจะรอให้ผ่าน non trend ไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ
ซื้อ-ขายหุ้นต่อไป ดังนั้นการใช้ Raff Regression
ยืนยันการออกข้างของราคาหุ้นได้
กลยุทธการลงทุน
2. การหาจังหวะการลงทุน จะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยเครื่องมือทางเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นบนกราฟ ข้อมูลราคา ช่วง TF ระดับเดือน โดยมีขั้นตอนดังนี้
สัญญาณซื้อ
- ราคาเคลื่อนตัวจาก KC Bottom เข้าสู่ KC AVG มีทิศทางขาขึ้น Uptrend โดยดูจาก Raff Regression ลากจากจุด turning point ความชันเป็น + เท่านั้น
- EMA6 ตัดกับ KC AVG โดย EMA6 มากกว่า KC AVG
สัญญาณขาย
- ราคาเคลื่อนตัวจาก KC Top เข้าสู่ KC AVG มีทิศทางขาขึ้น Downtrend โดยดูจาก Raff Regression ความชันเป็น - เท่านั้น
- EMA6 ตัดกับ KC AVG โดย EMA6 น้อยกว่า KC AVG
*** กรณีราคา ออกข้างหรือ Sideway ให้จำแนกแนวโน้มโดย Raff Regression ความชันเป็น 0 ให้ถือหุ้นอยู่เฉยๆ ไม่ต้องซื้อตามสัญญาณ แม้ว่า EMA6 จะตัดกับ KC AVG ก็ตาม
*** กรณีต้องการซื้อสะสมแบบ DCA สามารถเริ่มซื้อสะสมได้จากจุด TP ในช่วงขาขึ้น จนถึงจุดตัดของ EMA6 ถึง KC AVG
ตัวอย่างจุด TP และสัญญาณซื้อ-ขาย
กรณี
ที่ Sideway ก็รอดูมันทำ จนกว่าจะเกิดเทรนด์ที่ชัดเจน เข้าเงื่อนไข
การซื้อ ขาย ก็เดินต่อไป เราใช้ Raff Regression ในการวัดแนวโน้ม
กรณีที่มือใหม่ไม่ถนัดลากเส้นแนวโน้มเอง
1. หัวใจการลงทุนระยะยาวคือการวิเคราะห์ความน่าจะเป็นทางธุรกิจ ที่เป็นมีโอกาสจะเติบโต โดยต้องทำการหาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระดับ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และข้อมูลของบริษัท เพื่อจะได้เลือกหุ้นที่มีอนาคต สว่างสดใส รุ่งโรจน์ ชัชวาลได้ถูกต้อง
2. ความรู้การวิเคราะห์พื้นฐาน เป็นหัวใจในความสำเร็จ โดยต้องหาข้อมูลและอ่านรายงานของนักวิเคราะห์ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจ การเลือกหุ้นที่ดี มีโอกาสเติบโตก็เท่ากับเข้าใกล้ความสำเร็จเกือบ 60% แล้ว ดังนั้นการใช้เวลาว่าง วันหยุดในการศึกษาหาข้อมูลจึงเป็นสิ่งจำเป็น อ่านบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ ดูเหตุผลการให้ราคาเป้าหมายในอนาคต ดูข้อมูลและโอกาสทางธุรกิจที่นักวิเคราะห์สรุปไว้
3. ซื้อหุ้นดี แต่ไม่ถูกจังหวะ ก็อาจจะทำให้เราสูญเสียโอกาสได้ เครื่องมือทางเทคนิค สามารถช่วยให้เราทราบแนวโน้มราคาหุ้น ที่เริ่มเข้าสู่ขาขึ้น เพื่อกำหนดจังหวะการลงทุน เปรียบดังการขึ้นรถเมล์ ที่ถูกคัน และถูกเวลาขึ้นปุ๊บ รถก็ออกทันทีไม่ต้องนั่งรอให้เสียอารมณ์ บางครั้งถ้าจิตใจไม่แน่วแน่เราอาจจะทิ้งโอกาสไป หรือบางครั้งอาจจะซื้อหุ้นดีที่ปลายดอย ต้องทนเห็นราคาหุ้นไหลลง แบบนั้นก็ยากที่จะทำใจให้ถือยาวได้ ไม่ใช่บอกว่าพลังงานจะมาในอนาคต PTT ดี ก็แห่ไปซื้อตอน 340 - 350 แบบนี้ก็รอกันเหงือกบานกว่าจะได้เห็นผลกำไร หรือถ้าได้เห็นจริง Upside ก็อาจจะไม่มากซะใจเท่าที่หวังไว้
การ เปิดใจยอมรับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เสียหาย ไม่มีใครบัญญัติว่า VI หรือนักลงทุนระยะยาวห้ามใช้กราฟ การเข้าใจสถิติจะทำให้เรามองอะไรเป็นวิทยาศาตร์ และเป็นปัจจุบันมากขึ้น ดีกว่าไปยึดในสิ่งที่เราจินตนาการแล้วนำมาโมเดลภาพในอนาคตอย่างเดียว
การ ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะทำให้เราง่ายต่อการติดตามและ กำหนดการเข้าซื้อ ขายหุ้นในราคาที่เหมาะสมได้ด้วย ที่สำคัญเรื่องการวิเคราะห์เทคนิคที่ผมนำมาเสนอก็เป็นพื้นฐาน ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อน แบบนับเวฟ หรือการจดจำ รูปแบบแท่งเทียนอะไร
4. ควรรู้จัก Mega trend ถ้าคิดจะลงทุนระยะยาวให้เข้าวิน ต้องรู้จักกับ Mega Trend ที่กำลังจะมา บทความเหล่านี้สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ พิมพ์หรือการจัดสัมนา ถึงเรื่องธุรกิจที่เกาะกระแส Mega Trend หลายบริษัทก็มีอยู่ในตลาดหุ้น เช่นเรื่องของ Health Care มีทั้งบริษัทประกัน, โรงพยาบาล หรือ เรื่องพลังงานทดแทน เป็นต้น
5. การลงทุนระยะยาว นั้นเหมาะกับมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเวลามาติดตามหุ้นรายวัน แค่ใช้เวลาว่างเสาร์ อาทิตย์ในการหาข้อมูลและดูราคาบ้างพอประมาณ ที่สำคัญวิธีนี้ทำให้ไม่ต้องไปกังวลกับความผันผวนของตลาดมากนัก กรณีตลาดมีแรงผันผวนมากเกิด Sideway เราก็รอเฉยๆหรือหมอบไว้ก่อน รอจนแนวโน้มชัด แล้วค่อยตัวสินใจซื้อ หรือ ขายต่อไป
วิธี นี้เป็นวิธีที่ผมใช้มาแล้ว หลายปี คิดว่าดีจึงนำมาถ่ายทอดและแนะนำกัน ศึกษาให้เข้าใจและลองนำไปผลิกแพง แล้วปรับปรุงใช้ หุ้นหลายตัวพื้นฐานเลิศ แต่สภาพคล่องน้อย นอนนิ่งออกข้างเป็นคานทางด่วน เราก็รอจนกว่าจะมีคนมาสนใจและมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น จนเป็นขาขึ้นแล้วค่อยเริ่มสะสม แน่นอนว่า เคล็ดลับคือการหมั่นติดตามดูหุ้นที่เราสนใจ ติดตามการเคลื่อนไหวรายสัปดาห์ หรือ รายเดือนเพื่อให้เห็นแนวโน้มของราคา ว่ามันสอดคล้องกับแนวโน้มผลประกอบการที่เราคาดไว้หรือไม่ ถ้าสองแนวโน้มมาบรรจบกันก็โป๊ะเช๊ะ เตรียมเฮได้เลยครับ
ผลประกอบการที่คาดไว้และราคามาบรรจบกัน ก็ถึงเวลาเฮได้เลยครับ เข้าเก็บปี ปลายปี 2009 มีทิศทางชัดเจน ขายต้นปี 2011
Cradit:Notebook
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)